ผลไม้ประจำฤดูหนาว

 




              1. สตรอว์เบอร์รี่  สตรอว์เบอร์รี่อุดมด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน เมล็ดเล็ก ๆ ที่กระจายตามผลของสตรอว์เบอร์รี่จัดเป็นแหล่งไฟเบอร์อย่างดี นอกจากนี้ยังมี โฟเลท โพแทสเซียม และแอนตี้ออกซิแดนท์ คุณค่าต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผลไม้ชนิดนี้ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวค่ะ เพราะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิดต่าง ๆ และนี่คือเหตุผลที่คุณควรกิสตรอว์เบอร์รี่ สตรอเบอรี่ 1 ลูก จะมีเมล็ดที่กระจายอยู่รอบผลประมาณ 200 เมล็ด




               2. แอปเปิ้ล ประโยคที่ว่า "an apple a day will keep the doctor away." ยังคงเป็นจริงอยู่ตลอดกาลค่ะ เพราะนอกจากรูปทรง สีสันที่สวยงาม และความอร่อยที่ซ่อนอยู่ในเนื้อกรอบ ๆ แล้ว แอปเปิ้ลยังมีแร่ธาตุมากมายทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ซีลิเนียม วิตามินเอ วิตามินซี โฟเลท ซึ่งสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และยังมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ที่สำคัญ ผลแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยที่เรียกว่า เพคติน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวมาก เหมาะกับคนที่เป็นโรคท้องผูก ป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างดี นอกจากนี้ ดร.แบรี่ เซียร์ส ยังได้ระบุคุณสมบัติของแพคตินไว้ในหนังสือ "Top 100 Zone Foods" ไว้ด้วยว่า เส้นใยเพคตินยังสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดระดับคอเลสเตอรอลได้ด้วย





                 3. องุ่น จริงอยู่ที่องุ่นจะออกผลได้ตลอดปี แต่ฤดูหนาวเป็นช่วงที่องุ่นมีรสอร่อยที่สุดค่ะ องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล ที่เป็นทั้งซูโคส และกลูโคส นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง วิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก ซึ่งเป็นประโยชน์ในระบบการทำงานประสาท และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อค่ะ   ภาพและสัญลักษณ์บนผนังถ้ำตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณแสดงให้เห็นการเก็บเกี่ยวและผลิตไวน์ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า มนุษย์รู้จักปลูกองุ่นและนำมาแปรรูปตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีมาแล้ว 




                 4. เสาวรส เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมดึงดูดใจ แถมรสชาติก็อร่อยกินแล้วชื่นใจอย่าบอกใครเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวเนี่ย ออกผลกันให้ได้เห็นมากที่สุด และรสชาติก็ดีกว่าฤดูไหน ๆ เพราะฉะนั้น คอเสาวรสทั้งหลายพลาดไม่ได้จริง ๆ เสาวรสเป็นแหล่งของวิตามินเอ และซี และยังมีวิตามินบีคอมเพล็กซ์ ธาตุเหล็ก กินแล้วดีต่อสุขภาพตา ช่วยในการมองเห็น กำจัดสารพิษในเลือด บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ขอบอกว่า กินแล้วดีจริง ๆ 




                 5. กีวีฟรุต กีวีเพียงนึ่งหรือครึ่งลูกจะมีวิตามินซีเทียบได้กับส้ม 1 ผลเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ เมล็ดสีดำในกีวียังเป็นแหล่งของใยอาหารชั้นดี และยังมีปริมาณของโปแทสเซียมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกล้วยหอม มีวิตามินเอ และอี เปลือกของกีวีเป็นแหล่งของสารแอนตี้ออกซิแดทน์ เมล็ดในของกีวีมีกรดโอเมก้า 3 แถมยังมีแคลอรี่ต่ำด้วยค่ะ เพราะกีวี 1 ผล จะให้พลังงานเพียง 46 กิโลแคลอรี่ แบ่งเป็น ไขมัน 0.3 กรัม โปรตีน 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11 กรัม วิตามินหลากชนิดอีก 75 มิลลิกรัม ทำให้กีวีเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนทุกเพศวัย กีวีฟรุตเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน และทางพฤกษศาสตตร์กำหนดให้กีวีเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ เหมือนกับเสาวรส หรือกระทกรกนั่นเอง




         6. ลูกแพร์ เป็นผลไม้ที่มาพร้อมลมหนาวอีกชนิดที่มีรสหวานฉ่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ มีแร่ธาตุอย่างสังกะสี เหล็ก อุดมไปด้วยวิตามินซี อี และบีบางชนิด แถมยังมีเอนไซม์ที่ชื่อไฟซิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อย เป็นยาระบายอ่อน ๆ เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายลำบากเป็นอย่างยิ่ยังไม่หมดเท่านั้น ที่สำคัญคือ ลูกแพร์หวานฉ่ำนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยต้านมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเลย แอปเปิ้ล ลูกแพร์ และสรอว์เบอรี่ ต่างก็เป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลกุหลาบด้วยกันทั้งสิ้น 


                    
         7. ส้ม ผลไม้ยอดฮิตตลอดกาล จัดเป็นผลไม้
ตระกูล Citrus ให้รสชาติเปรี้ยวหวาน ที่ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ 
ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เอ…แล้วส้มมีวิตามินอะไรบ้าง ? 
เช่น วิตามินซี วิตามินเอ (เบตาแคโรทีน) วิตามินบี วิตามินดี ธาตุ
แคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และคอลลา
เจน นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย สำหรับ
สรรพคุณของส้มในเรื่องอื่น ๆ เช่น ช่วยรักษาเลือดออกตามไรฟัน 
ช่วยล้างสารพิษในร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้นสำหรับการกินส้มนั้นสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ทั้งนี้เด็กต้องอายุมากกว่า 6 เดือนและการให้ดื่มน้ำส้มนั้นควรจะผสมน้ำเปล่าไปด้วยในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง ทั้งนี้เพื่อลดการระคายเคืองสำหรับเด็ก เพราะส้มนั้นจะมีรสชาติเข้มข้น และการผสมน้ำก็เป็นอีกวิธีสำคัญที่ทำให้เด็กไม่ติดกินหวานได้ดีอีกด้วย และถัดมาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคไต หรือคิดว่ากำลังจะลดความอ้วน ควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มมีน้ำตาลและโพรแทสเซียมสูง แต่ถ้าจะกินควรเลือกกินเพราะว่าส้มมันมีกากใยมากกว่าคิดว่าเป็นน้ำส้มคั้น ส้มมีวิตามินซีเท่าไร ? ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบตาแคโรทีน 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 50 มิลลิกรัม ส้ม 1 ผลโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 140 กรัม ก็เท่ากับว่าส้ม 1 ลูกมีวิตามินซี 70 mg. และมีเบตาแคโรทีน 115 MCG. นั่นเอง “โดยการกินส้มวันละผลถือเป็นสิ่งที่ดี และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย”
                     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น